โลกของจีน โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
สี จิ้นผิง สมัยที่ 3
วันที่หนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์ฉบับนี้วางตลาดซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2565 อาจเป็นวันหยุดพักผ่อนประจำสัปดาห์ ที่สมาชิกหรือแฟนประจำของอปท.นิวส์ ได้หยิบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ที่มีคุณภาพขึ้นมาอ่านเพื่อติดตามข่าวสารท้องถิ่นทั่วไทย
แต่ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน นับเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นวันประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 20 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคการเมืองที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลกกว่า 80 ล้านคนที่เพิ่งฉลอง 100 ปีเมื่อปี 2021 โดยวันนี้มีผู้แทนพรรคจากทั่วประเทศจำนวน 2,296 คน เดินทางมาร่วมประชุมที่มหาศาลาประชาชน
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน จัดขึ้นเป็นประจำทุก 5 ปีเพื่อสรุปผลงานในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ประสบความสำเร็จและต้องปรับปรุง มีการวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ มีการเสนอแผนงานเชิงยุทธศาสตร์สำหรับ 5 ปีข้างหน้า และการเดินหน้าสู่เป้าหมายสูงสุดของพรรคที่ได้กำหนดไว้ในระยะยาว
ปีนี้มีวาระสำคัญที่โลกต้องจับตาคือการเสนอให้ สี จิ้นผิง ผู้นำวัย 69 ปีที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์และประธานาธิบดีต่อเนื่องมาแล้ว 2 สมัย ได้รั้งตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 โดยก่อนหน้านี้ในปี 2018 ได้มีกระบวนการสร้างเหตุผลและความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกข้อกำหนดที่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนต่อเนื่องไม่เกิน2สมัย10 ปี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำรุ่นที่2ได้กำหนดไว้
ปี 2012 สี จิ้นผิง ได้รับเลือกเป็นสมัยที่ 1
ปี 2017 สี จิ้นผิง ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2
ปี 2022 วันที่ 16 ตุลาคม จึงเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจีนเมื่อสี จิ้นผิง ได้รับเลือกเป็นสมัยที่ 3
การปูทางการเมืองล่วงหน้าไว้ยาวนาน ความมั่นใจว่าจะได้บริหารต่อเนื่องอีก 5 ปี ทำให้สี จิ้งผิง กล้าจะกล่าวไว้เมื่อเร็วๆนี้ว่า การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 จะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ ขณะที่จีนกำลังเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ไปสู่การสร้างประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างสมบูรณ์
พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประกาศเป้าหมายแห่งศตวรรษไว้ 2 ข้อ คือการสร้างสังคมที่มีความเจริญระดับปานกลางในทุกแง่มุมภาย นำพาประชาชนเอาชนะความยากจนในปี 2021 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรค และการสร้างจีนให้เป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2049 ในวาระครบรอบ 100 ปีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
ก่อนจะถึงปี 2049 ซึ่งตอนนั้นสี จิ้นผิง จะมีอายุ 96 ปีแล้วถ้ายังอยู่ถึง ผู้นำสีจึงตั้งเป้าหมายครึ่งทางไว้ว่าจีนควรบรรลุ ความทันสมัยแบบสังคมนิยมขั้นพื้นฐานในปี 2035 ที่เน้นพัฒนาเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มประเทศนวัตกรรม
และควรจะบรรลุความเป็นอุตสาหกรรม การสร้างข้อมูลสารสนเทศ ความเป็นเมือง และความทันสมัยทางการเกษตรรูปแบบใหม่ รวมถึงการจัดตั้งระบบเศรษฐกิจอันทันสมัย
การมุ่งมั่นพัฒนาชาติโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนประกอบกับความมั่นคงทางการเมืองจนบรรลุผลดังเช่นการแก้ปัญหาความยากจน การยกระดับเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก้าวสู่ภายนอกด้วยอภิมหาโครงการ “เส้นทางสายไหมยุคใหม่” คือผลงานอันโดดเด่นในรอบ 10 ปีของสี จิ้นผิง
แต่ในทางการเมืองระหว่างประเทศคือผลงานที่สร้างความหวาดกลัวต่อมหาอำนาจเดิม ผู้กำหนดระเบียบโลกเก่าอย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มพันธมิตร ที่มองจีนเป็นภัยคุกคามจนต้องรวมหัวกัน “คุมกำเนิดจีน” ต้องการกดหัวเอาไว้ไม่ให้เติบโตเกินหน้า อันเป็นที่มาของสงครามการค้า การเล่นงานด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงการแทรกแซงทางการเมืองอย่างกรณีม็อบฮ่องกง และการเสี้ยมไต้หวันให้แข็งข้อต่อจีน ขายอาวุธให้อย่างเป็นล่ำเป็นสันทั้งๆที่บอกว่าเคารพนโยบาย “จีนเดียว”
แม้จะพอเป็นที่รู้กันว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ดูเหมือนเป็นหนึ่งเดียว แต่ภายในก็มีกลุ่มก้อน มีสายเหยี่ยว สายพิราบ ทั้งที่สนับสนุนและต่อต้านการผูกขาดอำนาจของสี จิ้นผิง
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่จีนต้องเผชิญทั้งปัญหาภายในอย่างฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก ผลกระทบจากโควิด-19 การคอรัปชั่นของข้าราชการที่ฝังรากอยู่ในวัฒนธรรม การกระจายความมั่งคั่งที่ยังกระจุกอยู่กับผู้ทรงอิทธิพลจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับประชากรกว่า 1,400 ล้านคน
ขณะที่ปัญหาภายนอกที่หนักหน่วงคือการรุมกินโต๊ะจากกลุ่มมหาอำนาจตะวันตกที่ยังต้องการครอบครองอิทธิพลในเวทีโลกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่เคยได้ โดยใช้วิธีการที่ไม่เคารพกติกาสากลทั้งซึ่งหน้าและลับหลัง ทั้งสงครามเย็นและสงครามร้อน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนย่อมเห็นแล้วว่าความท้าทายทั้งภายในและภายนอกในยามนี้มีเพียงสี จิ้นผิง เท่านั้นที่เหมาะสมจะนำจีนเผชิญหน้าได้อย่างสมศักดิ์ศรีและทันเกม เพื่อเดินหน้าให้บรรลุจุดหมายที่ตั้งไว้
ป่านนี้ท่านผู้อ่านน่าจะรู้ผลการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว
ถ้ามองเชื่อมโยงถึงไทยเอางานใกล้ตัว น่าจะส่งผลดีต่อกำหนดการประชุมระดับผู้นำ APEC 2022 ที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้
แม้จะยังไม่ยืนยัน 100% แต่เชื่อว่าสี จิ้นผิง จะมาร่วมประชุมแน่เพราะรัฐบาลจีนประกาศหนุนไทยเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่ แล้วสีจะใช้เวที APEC ประกาศนโยบายสำคัญของจีน โดยเฉพาะนโยบายระหว่างประเทศ และเรื่องที่โลกคาดหวังนั่นคือการเปิดประเทศ ยกเลิก หรือผ่อนคลายนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” (Zero Covid) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้าการท่องเที่ยวทั่วโลก