DigiC โดย ธวัชชัย สุขสีดา (อ.ดร.ต้นรัก) วิทยากรการตลาดดิจิทัล
สร้างตนมี “สุข” จากเทคโนโลยีเจริญ
สวัสดีทุกท่านเราเริ่มต้นปีใหม่ 2566 ด้วยการใช้ชีวิตไปกับเทคโนโลยี “เทคโนโลยียิ่งก้าวหน้ายิ่งต้องพัฒนาชีวิต” ในการใช้ชีวิตทุกวันนี้ เราเพลิดเพลิน สะดวกสบาย และหลงมัวเมากับความสุขจากการใช้เทคโนโลยี จนทำให้ประมาทหลงลืมตน ความประมาทนำมาซึ่งความมักง่าย ความขาดสติรอบคอบ คนในยุคเทคโนโลยีนี้ ถ้าไม่ระวังตัว ไม่มีการพัฒนาตนอยู่เสมอ ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นคนมักง่ายได้มาก
“เพราะว่าอะไรๆ นั้นหรอ..?” ก็เทคโนโลยีทำให้หมด คนเรานั้นถ้าจะให้มีสติรอบคอบ มีความไม่ประมาท มีความละเอียดลออ ไม่มักง่าย ก็ต้องมีการฝึก การฝึกตนนั้น ต้องทำกันอยู่เสมอ เช่น ฝึกตนในการทำงาน ฝึกตนในความเป็นอยู่ ยิ่งการทำในสิ่งที่ทำได้ยาก ก็ยิ่งต้องมีการฝึกฝนให้มาก ต้องฝึกทำให้ตนไม่มักง่าย ให้มีสติรอบคอบ ถ้าหากเทคโนโลยีมาทำแทนตนได้หมด และถ้าคนเราไปฝากความหวังไว้กับเทคโนโลยีคอยอาศัยเทคโนโลยี เราก็ไม่ได้ฝึกตนในเรื่องของความขยันอดทน ความมีสติรอบคอบอะไรเหล่านี้ ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา แล้วปัญหานี้ก็จะย้อนกลับไปเป็นโทษในทาง เทคโนโลยีเอง คือ คนที่มีความมักง่าย ประมาท ไม่ละเอียดรอบคอบ เมื่อไปทำงานกับเทคโนโลยีก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางเทคโนโลยี
ปัจจุบันนี้ ในประเทศไทยมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างมากและผู้คนก็ใช้เทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก และกำลังหวนกลับมาประสบปัญหานี้ คือการที่การพัฒนาคนบกพร่องไป คนไม่ได้พัฒนาร่างกายและจิตใจ ไม่ได้ฝึกฝนในคุณธรรม ก็เกิดเป็นปัญหาทางจริยธรรม คือการที่คนขาดสติรอบคอบ มีความประมาท มักง่าย เมื่อคนเหล่านี้ไปใช้เทคโนโลยี เกิดความพลาดพลั้งก็เป็นโทษขึ้นมาปรากฏว่าอุบัติเหตุจากเทคโนโลยีสมัยปัจจุบันมีมากขึ้นๆ และเมื่อเทคโนโลยีมีความละเอียดลออซับซ้อนยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น อุบัติเหตุทางเทคโนโลยีก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นด้วยแล้ว ความมักง่ายนั้น ก็ทำให้เกิดโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้นตามกัน เพราะฉะนั้น การพัฒนาคนจะทอดทิ้งไม่ได้ในยุคเทคโนโลยี กลายกลับเป็นตรงข้ามว่า ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาเจริญมากเท่าไร การพัฒนาคนก็ยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น
เทคโนโลยีทำให้มนุษย์รู้สึกว่าได้รับความสุขมากขึ้นมีความสะดวกสบายมากขึ้น ทำอะไรได้อย่างใจมากขึ้น และนอกจากว่าปริมาณของความสุขดูเหมือนจะมากขึ้นแล้ว ขีดระดับของความสุขก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นด้วย เรามีเทคโนโลยีที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน มาปลุกเร้าประสาทสัมผัส ทำให้มีการสนองความต้องการของประสาทสัมผัสอย่างแรง ทำให้มีความตื่นเต้นอย่างถึงขนาด ซึ่งเราเรียกว่าเป็นความสุขมากขึ้น ระบบเสียงดนตรีที่ออกจากเครื่องเสียงต่างๆ ที่ซับซ้อน มีทั้งแบบปลุกเร้า ทั้งแบบนุ่มนวลละเมียดละไม สนองความต้องการได้เต็มที่ถึงขีดสุด ทำให้คนรู้สึกว่ามีความสุขมาก
อันนี้เป็นด้านที่เรามองในแง่ดี แต่ในเวลาเดียวกันถ้ามองกว้างออกไปให้เห็นสภาพความจริงตลอดสาย ก็จะพบว่าขณะนี้กำลังเกิดปัญหา คือ คนเรากำลังมีความสุขยากขึ้น เพราะเมื่อมีเทคโนโลยีสนองความต้องการมากขึ้น และอย่างรุนแรงมากขึ้น คนก็กลายเป็นเคยชินกับการปลุกเร้าและการสนองในปริมาณและขีดระดับนั้น ทำให้มีความต้องการในขั้นที่ว่าจะต้องได้อย่างนั้นและขนาดนั้นเท่านั้นจึงจะมีความสุข ถ้าไม่ได้อย่างนั้นและขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่อาจมีความสุขได้ และกลายเป็นมีความรู้สึกขาดแคลนบกพร่องเป็นทุกข์ แต่ก่อนเคยได้เท่านี้ก็สุข แต่เดี๋ยวนี้สุขไม่ได้กลายเป็นทุกข์ เหมือนกับการมีเครื่องเสียง แต่ก่อนนี้เรามีเครื่องเสียงระดับหนึ่ง เช่น วิทยุ เสียงก็ไม่ชัดเจนเท่าใด เรียกว่าชัดเจนพอสมควร เสียงดนตรีก็พอสมควรหรือพอฟังได้ พอเปิดฟังวิทยุนั้น เราก็มีความสุข ต่อมามีเครื่องเสียงที่ละเมียดละไมยิ่งขึ้นเข้ามา ทำให้คนรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น แต่พอสมมุติว่าเขาไม่ได้เครื่องเสียงชนิดนั้น ระดับนั้น กลับมาฟังเครื่องเสียงธรรมดาที่เคยฟังแล้วมีความสุขสมัยก่อน คราวนี้กลับกลายเป็นรำคาญ ไม่มีความสุข กลายเป็นความทุกข์ ดิ้นรนกระวนกระวายอยู่ไม่ได้ ไม่สามารถมีความสุขด้วยเทคโนโลยีเก่าที่ระดับต่ำกว่า และด้วยสภาพชีวิตที่สามัญธรรมดาเขาก็มีความสุขไม่ได้
เพราะฉะนั้น คนในสังคมเทคโนโลยี ถ้าไม่ฝึกตัวเองไว้ให้ดี จะกลายเป็นคนที่มีความสุขได้ยาก และมีความทุกข์ได้ง่ายด้วย เพราะเคยชินกับความสะดวกสบายและการสนองเร้าอย่างนั้นแล้ว พอขาดเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกปั๊บ ก็กระวนกระวายเดือดร้อนไปหมด สมัยก่อนไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ไม่เห็นเป็นไร อยู่ได้ มีความสุข เดี๋ยวนี้อยู่ไม่ได้ ไม่มีความสุขแล้ว เป็นอันว่า เทคโนโลยีได้เลื่อนขีดระดับของการที่จะเป็นสุขให้สูงขึ้นไป บุคคลก็จะต้องพยายามก้าวขึ้นไป หรือไขว่คว้าให้ถึงขีดระดับนั้นจึงจะมีความสุขได้ ถ้าไม่ถึงระดับนั้นก็ไม่มีความสุข
ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ขีดของความสุขที่เลื่อนขึ้นไปแล้ว อยู่ไปก็ชินชา กลายเป็นว่าถึงขนาดนั้นก็ไม่พอที่จะให้มีความสุข ต้องเลื่อนขีดระดับของการที่จะเป็นสุขขึ้นไปอีกเรื่อยๆ นี้คือปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เกิดในสังคมเทคโนโลยี ซึ่งเราจะต้องแก้ด้วยการพัฒนาคนอยู่ตลอดเวลา ให้คนมีความสำนึกในความหมายที่แท้จริง และขอบเขตของเทคโนโลยี และใช้อย่างรู้เท่าทัน รู้จักประมาณ และรู้จักคุณและโทษของมัน แล้วฝึกตนอยู่เสมอ ซึ่งจะทำให้มีผลที่กลายเป็นว่า ถ้าเราฝึกตนแล้วในแง่ความสุข ถ้ามีเทคโนโลยีช่วย ก็ดีไป แต่ถึงจะไม่มีเทคโนโลยี ฉันก็มีความสุขได้ ฉันเคยมีความสุขอย่างไร ฉันก็ยังมีความสุขได้อย่างนั้น ถ้ามีเทคโนโลยีฉันก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น แต่เทคโนโลยีอันไหนถ้าเข้ามาแล้ว จะทำให้เกิดโทษเป็นทุกข์แก่สังคมแก่ชีวิตระยะยาว ฉันก็ไม่เอานะ ต้องมีหลักมีเหตุผลของตนเองแล้วสามารถปฏิเสธอย่างนี้ด้วย จึงจะเป็นการปฏิบัติต่อเทคโนโลยีอย่างถูกต้อง นี้เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการพัฒนาทางด้านกาย
เป็นอันว่า ยิ่งเทคโนโลยีเจริญเราก็ต้องยิ่งระวัง เราจะยิ่งต้องฝึกตน ฝึกอินทรีย์ของเราไว้ให้เต็มที่ ทั้งฝึกอินทรีย์ทางด้านการใช้งาน และฝึกอินทรีย์ในด้านการรับสิ่งที่ดีงามเข้ามา ไม่รับสิ่งที่เป็นโทษเข้ามา หรือแม้รับรู้เข้ามาแล้ว ก็สามารถหันเหเบนกระแสความคิด ความรู้สึกไปในทางที่ดีงามเป็นคุณประโยชน์ไร้โทษ เท่ากับพูดว่า การพัฒนาคนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะละเว้นหรือหยุดยั้งได้ ในยุคไหนเรายิ่งมีความเจริญขึ้นเท่าใด การพัฒนาคนก็จะยิ่งมีความจำเป็นและสำคัญมากขึ้นเท่านั้น