เขียนให้คิด โดย ซีศูนย์
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปลอมบัตรประชาชน
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ช่วงนี้เข้าหน้าร้อนแล้วนะครับ ระวัง PM 2.5 ไว้บ้างก็ดี ยิ่งอุณหภูมิการเมืองใกล้เลือกตั้งกันอีกก็คงราวต้นเดือนพฤษภาคม พวกเราคงได้ใช้สิทธิกันอีกครั้ง ก็เลือกคนที่รักพรรคที่ชอบนะครับ และอย่าเลือกคนโกงกินเข้าไปอีกละท่าน ไม่งั้นบ้านเมืองบอบช้ำอีกหลายปีนะครับ
ข่าวช่วงนี้ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชการมากมาย โดยเฉพาะเรื่องคนต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินจนได้สัญชาติไทย แถมมีธุรกิจใหญ่โต ที่น่ากลัวที่มาประกอบธุรกิจสีเทานั่นยิ่งน่ากลัวก็เชียร์ คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นะครับว่า เปิดโปงกันให้มากเถิดครับ คนไทยจะได้หูตาสว่างกันบ้าง หาไม่แล้วอนาคตข้างหน้าประเทศเราอาจมีผู้บริหารท้องถิ่นเป็นคนต่างด้าว หรืออาจเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้นะครับ
พูดถึงเรื่องสวมตัวปลอมบัตรประชาชนจนคนต่างด้าวเป็นคนไทยกันมากมายแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิดเรื่องนี้นะครับ มีความเป็นมาช้านานแล้ว เจ้าหน้าที่เรานี่ละตัวดี เราอาจมองเวลานี้ว่า ตำรวจอาจมีส่วนเรื่องต่างด้าวมาก แต่ยังมีอีกหน่วยนะครับที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็มหาดไทยและท้องถิ่นนี่ละครับ ที่มีการสวมตัวปลอมบัตรกันมาตลอดทั้ง ป.ป.ช และ ป.ป.ท.ก็มีการดำเนินคดีกันมากมาย เพียงแต่ไม่ค่อยเป็นข่าวดังกันเท่านั้น มาเล่ากันสักเรื่องนะครับ
เหตุเกิดที่อำเภอในจังหวัดชายแดนแห่งหนึ่ง มีคนต่างด้าวเป็นคนลาวสัญชาติทางอเมริกาเกิดอยากได้บัตรประชาชนไทยขึ้นมา ก็เลยไปติดต่อนายหน้าเป็นหญิงคนหนึ่งที่มีอาชีพหาคนต่างด้าวไปทำบัตรประชาชนไทย โดยหญิงคนนี้รู้จักกับเจ้าหน้าที่อำเภอเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับปลัดอำเภอที่เป็นฝ่ายทะเบียนในอำเภอแห่งนี้และปลัดคนนี้แกจะคุมงานห้องสำนักทะเบียนคนเดียว เพราะช่วงนั้นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนของอำเภอป่วยไม่ได้ไปนั่งทำงานโดยตลอด และเจ้าหน้าที่ทุกคนทราบดีว่า ปลัดคนนี้จะเป็นคนสวมตัวปลอมบัตรให้คนต่างด้าวที่มาติดต่อสวมตัวปลอมบัตรแทบทุกคน
หญิงนายหน้าคนนี้ไปรู้จักกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง นายหน้าสาวรู้ว่าหญิงชาวบ้านคนนี้มีน้องชายสมมติชื่อนาย บ. ไปทำงานที่กรุงเทพฯ หลายสิบปีแล้ว ไม่เคยส่งข่าวหรือกลับมาบ้านอีกเลย พี่สาวมารู้ภายหลังว่านาย บ.น้องชายของตนเสียชีวิตที่กรุงเทพฯ หลายปีแล้ว ตนเองก็เป็นชาวบ้านยากจน หญิงนายหน้าแกรู้จุดอ่อนว่า ชาวบ้านอยากได้เงินไปเลี้ยงชีพตัวเองกับครอบครัว แกก็ไปติดต่อทำความรู้จักและบอกช่องทางทำมาหากิน โดยการทำบัตรประชาชนให้คนต่างด้าว หญิงชาวบ้านก็ตอบตกลงจะให้ชื่อนาย บ.น้องชายตัวเองแก่คนต่างด้าวที่ต้องการบัตรประชาชน หญิงนายหน้าจึงโทรศัพท์ติดต่อกับปลัดอำเภอที่ทำหน้าที่ฝ่ายทะเบียน
หลังจากนั้นมีวันหนึ่งก็ได้นัดหมายไปพบกันที่ที่ว่าการอำเภอ ก็มีหญิงชาวบ้านพี่สาวนาย บ.ผู้ที่ถูกสวมตัวปลอมบัตรแล้วยังมีหญิงนายหน้ากับคนต่างด้าวไปตามที่นัดหมายกันเพื่อพบกับปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียน เมื่อเข้าไปนั่งที่ฝ่ายทะเบียน ปลัดผู้ถูกกล่าวหาก็ให้ลูกน้องของตนที่เป็น อส.ช่วยงานทะเบียนจัดพิมพ์เอกสารให้หญิงชาวบ้านเซ็นในฐานะบุคคลผู้น่าเชื่อถือ และให้คนต่างด้าวเซ็นชื่อและพิมพ์นิ้วมือในเอกสารที่จัดพิมพ์ไว้แล้ว โดยระบุว่าชื่อนาย บ.ทำบัตรประชาชนหายขอทำบัตรใหม่ในชื่อนาย บ.น้องชายของหญิงชาวบ้าน แล้วให้คนต่างด้าวถ่ายรูปเป็นหลักฐาน โดยมีเจ้าหน้าที่อีกคนช่วยถ่ายบัตรให้
ลักษณะนี้เป็นทำงานเป็นขบวนการในเครือข่ายเดียวกัน และคนที่รู้ขั้นตอนก็คือปลัดอำเภอผู้ถูกกล่าวหานั้นเองโดยเริ่มแต่เสียบบัตรประจำตัวและใส่รหัสของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าระบบคอมพิวเตอร์เป็นการเฉพาะตัว ซึ่งต้องเก็บเป็นความลับ เรื่องนี้ปลัดอำเภอเป็นผู้รับคำขอ ผู้ตรวจสอบ ทร.14 ถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือและเป็นเจ้าหน้าที่ผู้อนุญาตทำบัตรและมีหลักฐานเป็นแบบคำขอมีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรประชาชน ซึ่งต้องพิมพ์ออกจากคอมพิวเตอร์ของงานทะเบียน
นอกจากนี้ ตัว อส.และเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ให้การสอดรับว่า ปลัดอำเภอเป็นผู้จัดทำบัตรให้คนต่างด้าวรายนี้ นอกจากนั้น หลักฐานก็รับฟังได้ว่า นอกจากหญิงชาวบ้านพี่สาวรับรองฐานะผู้น่าเชื่อถือและได้รับค่าจ้างไปสองหมื่นบาทเท่านั้นแล้ว ปลัดอำเภอรายนี้ก็ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานโดยละเอียด คงมีเพียงหลักฐานการรับแจ้งหาย บันทึกการรับรองบุคคลและบันทึกเปรียบเทียบปรับ รวมถึงหลักฐานเดิมที่มี ซึ่งจะทราบได้ว่านาย บ.ผู้ถูกปลอมบัตรเคยทำบัตรมาก่อนแล้ว ทั้งไม่ได้ตรวจใบหน้าของนาย บ.ตัวจริงและคนต่างด้าว ซึ่งไม่เหมือนกันอันจะทราบได้ว่าไม่ใช่คนเดียวกัน เพื่อใช้ดุลพินิจในการพิจารณาจัดทำบัตรประชาชนกรณีบัตรหายแต่ละรายได้อย่างเหมาะสม
คือการขอมีบัตรกรณีบัตรหายหรือถูกทำลายให้เรียกหลักฐานแจ้งความบัตรหาย หรือบัตรถูกทำลายและหลักฐานที่มีรูปถ่ายผู้ขอหรือเป็นเอกสารที่ททางราชการออกให้อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ใบอนุญาตขับรถ ใบประกันสังคม หนังสือเดินทาง เป็นต้น กรณีไม่มีหลักฐานดังกล่าวให้สอบสวนเจ้าของบ้านหรือผู้น่าเชื่อถือแทน ซึ่งหากใช้เพียงใครก็ได้มาเซ็นในฐานะผู้น่าเชื่อถืออย่างเดียว ย่อมเป็นช่องว่างในการที่เจ้าหน้าที่จะทุจริตสวมตัวคนอื่นทำบัตรได้โดยง่าย อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประเทศเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะไม่สามารถตรวจพบใบหน้าก็ยังสามารถตรวจสอบฐานข้อมูลภาพถ่ายทางทะเบียนที่จัดเก็บด้วยระบบไมโครฟิล์ม เพื่อตรวจเปรียบเทียบภาพใบหน้าได้ ทั้ง อส.ที่ช่วยงานก็รับว่า ตนตรวจเอกสารแต่ไม่พบภาพใบหน้านาย บ.ในฐานข้อมูลแต่อย่างใด ทั้งปลัดอำเภอผู้ถูกกล่าวหาสั่งให้ตนทำและถ่ายบัตรให้คนต่างด้าวที่อ้างนาย บ.ตนเห็นว่า คนต่างด้าวเองเขียนชื่อตนเองไม่ถนัด เหมือนเพิ่งฝึกเขียนหนังสือ แต่ก็ไม่เห็นปลัดอำเภอสอบปากคำผู้ขอหรือพยานบุคคลประกอบการพิจารณาแต่อย่างใด เรื่องนี้จึงได้ชี้มูลปลัดอำเภอผู้ถูกกล่าวหาทั้งวินัยและอาญาครับ