โลกของจีน โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
แรงงานยุคดิจิทัล
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “วันแรงงานสากล” มีการจัดกิจกรรมด้านแรงงานพร้อมกันทั่วโลกเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของผู้ใช้แรงงานที่มีส่วนในการสร้างชาติและสร้างโลก แต่สังเกตว่า ปีนี้มีอะไรที่ค่อนข้างร้อนแรงตามอุณหภูมิโลก
แถวยุโรปกลุ่มชาติพัฒนาที่ต้องอาศัยแรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ในช่วง 3 ปีที่ต้องเผชิญทั้งโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานอย่างมาก จึงมีการเดินขบวนเรียกร้องจาสกบรรดาสหภาพแรงงานต่างๆ ให้รัฐบาลเพิ่มค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสมกับค่าครองชีพที่พุ่งทะยานไปไกล
“ฝรั่งเศส” เป็นประเทศที่มีความดุเดือดหลังจากเคยนัดหยุดงานทั่วประเทศมาแล้ว สหภาพแรงงานในฝรั่งเศสได้นัดเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาคร็อง ที่ขยายอายุการเกษียณแรงงานจาก 62 ปี เป็น 64 ปี
กรุงปารีสเกิดความรุนแรงกลายเป็นจลาจลเผารถยนต์ ทุบกระจกทำลายร้านค้า เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในฝั่งเอเชียที่กรุงโซล เกาหลีใต้ มีการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและลดชั่วโมงการทำงาน เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น การชุมนุมอย่างสงบเรียกร้องปรับค่าจ้างแรงงานอันเนื่องมาจากผลกระทบจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ให้เท่าเทียมกับการที่รัฐบาลไปเพิ่มงบประมาณทางทหารเป็นเท่าตัว
ข้างบ้านเราที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา ผู้ใช้แรงงานร่วมเดินขบวนเรียกร้องค่าแรงและสวัสดิการที่ดีขึ้น
ส่วนที่ประเทศไทยเรา นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพจัดงานวันแรงงานแห่งชาติให้ดังเช่นทุกปี ฝ่ายสหภาพแรงงานก็ทำหน้าที่ร่วมเรียกร้องให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำไปที่ 700 บาท โดยให้เหตุผลว่า จากการประเมิน 700 บาท เป็นอัตราค่าจ้างที่จะทำให้แรงงานอยู่ได้ตามอัตภาพ และควรมีการปรับค่าจ้างทุกปีตามอัตราเงินเฟ้อ
ข้อเรียกร้องของแรงงานไทยในปีนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับแน่ เพราะ "อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ" ล่าสุดที่ใช้ทั่วประเทศ 328 - 354 บาท / วัน เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 นี่เอง
เปรียบเทียบกับวันแรงงานในจีนที่เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ใช้แรงงานทั่วจีนมีทั้งเดินทางกลับบ้านและออกเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกันอย่างคึกคัก หลังจากอั้นกันมา 3 ปี
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวอวยพรวันแรงงานปีนี้โดยเน้นย้ำ การส่งเสริมจรรยาบรรณในการทำงาน สนับสนุนให้คนจีนทำงานอย่างขยันขันแข็งและกล้าหาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสร้างความก้าวหน้าอย่างมั่นคงในการก้าวไปสู่ความทันสมัยของจีน และมีบทบาทนำในการเดินทางครั้งใหม่เพื่อสร้างจีนให้เป็นประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นและตระหนักถึงการฟื้นฟูประเทศและมุ่งเน้นสร้างแรงงานคุณภาพ
รัฐบาลจีนมีเป้าหมายชัดเจนในการนำประเทศมุ่งสู่ความทันสมัยและความเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และผลักดันให้จีนขึ้นแท่นความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์แบบ
แต่สำนักวิจัยของสหรัฐอเมริกาแห่งหนึ่ง เคยรายงานผลการศึกษาว่า การก้าวสู่ความทันสมัยอย่างเร่งด่วนของจีนก็ได้สร้างปัญหาแก่ตัวเอง เช่น การใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อการผลิต การใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อการจัดการในโรงงานและอื่นๆแม้จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และลดความผิดพลาดของมนุษย์ได้ แต่กลับส่งผลต่อการจ้างงาน การลดค่าจ้างและตำแหน่งงานที่แรงงานในประเทศเคยปฏิบัติลงเป็นจำนวนมากถึง 77%
ในรายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า “แรงงานทักษะต่ำ และแรงงานสูงอายุ” คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยต้องทำงานยาวนานยิ่งขึ้นถึงเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลง และเมื่อรายได้ลดลงก็จะเกิดการหยิบยืมหรือกู้เงินเพื่อให้ตนเองมีกินหรือเลี้ยงดูครอบครัวต่อไปได้
ขณะเดียวกันสื่อจีนเองก็เคยสะท้อนปัญหาด้านแรงงานจีนภายใต้บรรยากาศของการมุ่งสู่ความทันสมัยของภาคเอกชนจีน นั่นคือ “วัฒนธรรมการทำงานแบบ 996” หรือการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นการใช้แรงงานคนเสมือนหุ่นยนต์ สร้างความเครียดแก่ลูกจ้างและส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ดกังกล่าวนี้ มีผลให้รัฐบาลจีนต้องปรับนโยบายการพัฒนาประเทศ โดยการเดินหน้าสู่ความทันสมัยพร้อมๆ กับการพยายามสร้างโอกาสในการทำงานและขยายการจ้างงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิธีการของจีนคือ ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงผ่านการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และใช้นโยบายด้านภาษีมาช่วยส่งเสริมการจ้างงานที่สมดุลระหว่างเขตเมืองและในเขตชนบทในภูมิภาคต่างๆ ส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ไปลงทุนในภูมิภาค ทั้งอุดหนุน ลดหย่อนภาษี ปล่อยสินเชื่อและการจัดหาเงินทุนโดยตรง
รัฐบาลจีนเชื่อว่า ด้วยมาตรการจูงใจและสนัยสนึนเช่นนี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาพร้อมๆ กับการจ้างงานขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมดิจิทัลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับแรงงานทักษาต่ำหรือแรงงานผู้สูงอายุนั้น จีนได้มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำคล้ายๆ กับไทย กล่าวคือ มีการกำหนดอัตราที่แตกต่างตามพื้นที่และเมืองไม่เท่ากันตามค่าครองชีพที่แตกต่าง จีนมี 34 มณฑล มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แตกต่าง บ้างทำการเกษตร อุตสาหกรรม เทคโนโลยี ในแต่ละมณฑปยังมีเมืองที่เจริญและไม่เจริญ มีอัตราค่าครองชีพที่แตกต่าง ดังนั้น แต่ละมณฑลจึงสามารถกำหนดค่าแรงของตนเอง
ดังเช่นกรุงปักกิ่งที่เป็นเมืองหลวง กำหนดอัตราเดียว 2,320 หยวน/เดือน (ประมาณ 11,600 บาท) และ 25.30 หยวน/วัน (ประมาณ 1,012 บาท)
เซี่ยงไฮ้ ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจชั้นนำ 12,590 บาท/เดือน 115บาท/ชั่วโมง
เมืองกว่างโจว รายเดือนมี 4 ระดับ คือ 11,500 บาท 9,500 บาท 8,500 บาท และ 8,100 บาท
รายชั่วโมง 111 บาท 90บาท 85บาท และ 80 บาท
เมืองเซินเจิ้น เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ติดกับฮ่องกง มีความทันสมัยที่เน้นพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการเงิน กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือน 11,800 บาท รายชั่วโมง 111 บาท
มณฑลส่านซี อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ มีทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม รายได้ขั้นต่ำแบ่งเป็น3ระดับ รายเดือน 9,750 บาท 9,250บาท และ 8,750 บาท รายชั่วโมงแบ่งเป็น 95 บาท 90 บาท และ 85 บาท
มณฑลยูนนานทางใต้ของจีน ส่วนใหญ่ทำการเกษตร เมืองคุนหมิง ขั้นต่ำรายเดือน 8,350 บาท เมืองลี่เจียงขั้นต่ำรายเดือน 7,500 บาท ส่วนค่าจ้างรายชั่วโมงอยู่ที่ 75 บาท 70 บาท และ 65 บาท
เชื่อได้ว่า หลังผ่านพ้นโควิด หลังจากจีนเปิดประเทศได้ระยะหนึ่ง แต่ละมณฑลจะมีการพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สรุปสุดท้ายกลับมาที่ประเทศไทย เมื่อเลือกตั้งกันไปแล้ว เมื่อจัดตั้งรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลชุดใหม่ก็อย่าลืมสัญญาที่หาเสียงกับผู้ใช้แรงงานล่ะ