กล่าวกันว่า กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย เกินความต้องการใช้งานอยู่ประมาณ ร้อยละ 30 ซึ่งต้องตั้งคำถามว่า ปริมาณผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย มีกำลังสำรองมากเกินความต้องการของการใช้งานในประเทศ จริงหรือไม่ ?!

         นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ รับผิดชอบสายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ให้ความเห็นว่า ถ้ามองเรื่องกำลังผลิตไฟฟ้าในประเทศ ต้องแยกให้ได้ จะมองที่จุดไหน ระหว่างการผลิตไฟฟ้าด้วยเขื่อนพลังน้ำ โรงไฟฟ้าจากถ่านหิน โรงไฟฟ้าจากแก๊สธรรมชาติ หรือรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด อย่างพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือการแก้ปัญหาขยะด้วยการนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า

           ถามว่า ถ้าวันหนึ่งฝนไม่ตกขึ้นมา เขื่อนมีปริมาณน้ำน้อยเกินไป หรือถ้าวันหนึ่งฝนตกหนักขึ้นมา แดดไม่มีโซล่าเซลล์ก็ผลิตไฟฟ้าไม่ได้ แม้แต่ไฟฟ้าพลังงานลมก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน นอกจากนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ แต่หากเกิดปัญหาทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เขาก็สามารถจะตัดท่อแก๊ส ไม่ส่งแก๊สมาให้เรา แล้วเราจะทำอย่างไร ดังนั้น เมื่อมองถึงความมั่นคงทางพลังงาน กำลังผลิตเราเกินจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงวาทะกรรมของใครบางคน บางกลุ่มผลประโยชน์ ที่ไม่ต้องการใครมาสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมาแข่งขันกับเขาได้อีก

         “ที่เขาบอกว่าเกินคือมันเกินพวกนี้ ถามว่าการที่ประเทศไทยไปสัญญากับค็อก 26-27 ว่าจะ Go Green เลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด ภายในปี 2578 และจะต้องเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2050 เป็น Net Zero ภายในปี 2593 แล้วโรงไฟฟ้าแก๊ส โรงไฟฟ้าถ่านหินจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่หาไฟฟ้าจากพลังงานสีเขียวมาเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นเราต้องใส่โรงไฟฟ้าสีเขียวเข้าไปในประเทศไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ จะต้องเป็นไฟฟ้าสีเขียวที่มี Reliable ผมกลับมองว่าขยะมัน Reliable โอเคมันอาจจะสู้ถ่านหิน หรือแก๊สไม่ได้ แต่ผมถือว่ามันเป็นโรงไฟฟ้าที่ Reliable ที่สุดแล้ว”

# ผลประกอบการของ TPIPP ในปีที่ผ่านมา

         นายภัคพล กล่าวว่า ในปี 2565 เป็นปีที่ TPIPP มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก โรงไฟฟ้าขยะของ TPIPP เราได้แอดเดอร์ 7 เดือนแรก หลังจากนั้นก็จะขายไฟในค่าพื้นฐาน ซึ่ง จาก 3 โครงการ ในปี 2565 มี 2 โครงการที่หมดอายุ โครงการแรกหมดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อีกโครงการหมดอายุเดือนสิงหาคม 2565 ทำให้ระหว่างปี มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของค่าไฟที่ลดลง ซึ่งแน่นอนว่า กำไรของบริษัทฯ ก็ลดลงไปด้วย แต่ในทางกลับกัน จากเรื่องราคาของถ่านหิน และค่าแก๊สที่สูงขึ้น  รวมทั้งผลกระทบจากสงครามที่ยูเครน ส่งผลให้ค่าไฟหรือค่า FT ปรับสูงขึ้น ค่าไฟที่ TPIPP ขายให้กับการไฟฟ้าก็ขยับสูงขึ้นไปด้วย แต่ยังถือเป็นพื้นฐานไม่ได้ เพราะว่า FT มาขึ้นแรงๆ เมื่อครึ่งปีหลัง 2565 แอดเดอร์เราก็ลงแรงๆ ครึ่งปีหลังเหมือนกัน

         แต่เมื่อมาดูปี 2566 นี้ แอดเดอร์ TPIPP ก็ไม่ได้รับตั้งแต่แรกแล้วของทั้ง 2 โครงการ แต่โครงการที่ 3 TPIPP ยังมีแอดเดอร์อยู่  อย่างไรก็ตามแอดเดอร์ที่หายไปกลับมี FT เพิ่มขึ้นมา หลายคนก็ถามว่า FT ที่เพิ่มขึ้นกับแอดเดอร์ที่หายไป ผลบวกลบ โดยรวมผลประกอบการดีขึ้น

         ผลประกอบการของ TPIPPใน 6 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่ง 6 เดือนแรกของปีก่อนหน้านั้น TPIPP หมดแอดเดอร์ไป 2 โครงการ โครงการที่ 2 หมดเดือนสิงหาคม เพราะฉะนั้น 6 เดือนแรกโครงการที่ 2 ยังได้แอดเดอร์อยู่ แต่ 5 เดือนหลังต่างหากที่ไม่ได้แอดเดอร์ ดังนั้น เมื่อโครงการที่ 1 และโครงการที่ 2 หมดแอดเดอร์แล้ว กำไรของเรากลับดีกว่า 6 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งมันน่าแปลก

          “หลายคนบอกว่าเมื่อทีพีไอหมดแอดเดอร์แล้ว บริษัทจะแย่ แต่กลับกลายเป็นว่าพอแอดเดอร์หมดกำไรของเรากลับเพิ่มสูงขึ้น แน่นอนส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่า FT ที่สูงขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินมาเป็นโรงไฟฟ้าขยะ เมื่อต้นปี 2565 ที่ผมบอกว่ามีอยู่ 220 เมกะวัตต์ที่เป็นถ่านหิน ปัจจุบันเหลือ 150 เมกะวัตต์ 6 เดือนแรกของปี 2566 โรงไฟฟ้าของเราเป็นขยะทั้งหมดเลย  เพราะฉะนั้นค่อนข้างชัดเจนว่า โรงไฟฟ้าขยะมีกำไรดีกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะราคาถ่านหินมีขึ้น มีลง แต่ต้นทุนเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าขยะจะนิ่งและถูกกว่า การที่เราเปลี่ยนเป็นโรงไฟฟ้าขยะ ทำให้เราสามารถเก็บกำไรไว้ในระดับเดิมได้ ถึงแม้ว่าแอดเดอร์เราจะหายไป”

         นายภัคพล กล่าวต่อว่า พรรคการเมือง หลายพรรคบอกว่า จะยกเลิกค่า FT เพื่อเรียกคะแนนเสียง แต่ต้องถามกลับไปว่า ปัจจุบันค่า FT สะท้อนอะไร เพราะความจริงแล้ว ค่า FT จะสะท้อนต้นทุนค่าถ่านหิน ค่าแก๊ส และอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาท ถ้ายกเลิกค่า FT ไปแล้ว เมื่อต้นทุนแก๊ส ถ่านหินเพิ่มสูงขึ้น จากเหตุอะไรก็แล้วแต่ โรงไฟฟ้าก็อยู่ไม่ได้ หรือค่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศไทยอ่อนลงอย่างมาก โรงไฟฟ้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน แต่ถ้าจะมีการปฏิรูประบบคำนวนและจัดเก็บค่า FT เพื่อให้สะท้อนความจริงมากขึ้น ตนเองเห็นด้วยว่า รัฐควรจะดำเนินการ แต่ต้องไม่อวยให้วิสาหกิจหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งซึ่งทุกวันนี้สามารถชี้ได้เลยว่า ค่า FT ควรจะเป็นอย่างไร

          “ดังนั้นถ้าเราปฏิรูประบบการกำหนดค่า FT  ให้สะท้อนค่าต้นทุนต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ผมว่าค่า FT จะไม่ขึ้นมามากมาย และสามารถที่จะอธิบายกับประชาชนได้ว่า มันควรจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ แต่รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่มีอภิสิทธิบางราย จะต้องยอมลดกำไรลงไปบ้าง รับรองได้เลยว่า ค่าไฟของประชาชนจะดีขึ้นทันตาเห็น” นายภัคพล กล่าว.