นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสสายบัญชีและการเงิน กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้จากการขายในปี 2561จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 33,500 - 35,000 ล้านบาท เติบโต 15 - 20% จากประมาณ 29,000 ล้านบาท ในปี 2560 ที่ผ่านมา โดยคาดว่ารายได้จากการขายปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างของบริษัท จะเพิ่มขึ้นตามตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ ที่จะเติบโตต่อเนื่องจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบคมนาคมของภาครัฐ อันได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางคู่ เพื่อเชื่อมต่อตามหัวเมืองใหญ่ และภูมิภาค การขยายมอเตอร์เวย์ และถนนในภูมิภาคต่างๆ การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 สนามบินอู่ตะเภา การก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในเขต 3 จังหวัดซึ่งได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมเป็นจำนวนมากในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า TPIPP ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการ COD โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ (TG6-70MW) นำมารวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง (TG4-30MW) เพื่อขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 90MW โดยได้รับ Adder 3.50 บาทต่อหน่วย เพิ่มเติมจากค่าไฟฐานในปัจจุบันที่ประมาณ 2.94 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 7 ปี รวมทั้งการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน-เชื้อเพลิงขยะ (TG7-70MW) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน (TG8-150MW) เพื่อขายไฟฟ้าให้บริษัท
อนึ่งราคาหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 2.61 บาท โดยปัจจุบันบริษัทถือหุ้นใน TPIPP จำนวน 5,899,999,300 หุ้น หรือ 70.24% และบันทึกบัญชีหุ้นดังกล่าวในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท (ตามมูลค่าที่ตราไว้) เปรียบเทียบกับราคาตลาดของหุ้นTPIPP ที่ราคาประมาณหุ้นละ 7 บาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรซึ่งไม่ได้บันทึกบัญชี เพิ่มขึ้นประมาณ 35,400 ล้านบาท โดยมูลค่าเพิ่มดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าหุ้น TPIPL มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกประมาณหุ้นละ 1.70 บาท แต่บริษัทยังมิได้บันทึกบัญชีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวในงบการเงินของบริษัท โดยได้บันทึกบัญชีหุ้นดังกล่าวในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท (ตามมูลค่าที่ตราไว้)