“ศักดิ์สยาม”เตรียมเขย่างบประมาณปี 63 วงเงิน 4.2 แสนล้าน ให้สอดคล้องนโยบายรัฐบาลและพรรคร่วม พร้อมประเดิมลดค่าครองชีพประชาชนด้วยการลดค่าโดยสารทั้งระบบ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเรียกหน่วยงานของกระทรวงคมนาคมเข้าพบว่า เรื่องงบประมาณปี 2563 ของกระทรวงคมนาคม วงเงิน 4.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุน 2.1 แสนล้านบาท และงบประจำ 2.1 แสนล้านบาท นั้น จะขอดึงกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า แผนของบประมาณที่เสนอไปยังรัฐบาลนั้นเหมาะสมหรือไม่ และจะมีแผนไหนที่ต้องปรับแก้ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน
ขณะที่การพัฒนาโครงการอสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงินลงทุน 4.2 หมื่นล้านบาท ตามแผนแม่บทใหม่ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท.นั้น เห็นว่าเป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำ แม้จะยึดแผนก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ใกล้กับอาคารผู้โดยสารหลังเดิม เนื่องจากปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิประสบปัญหาผู้โดยสารล้นสนามบินหรือเกินขีดการรองรับมากกว่า 15 ล้านคนต่อปี
ทั้งนี้ ประกอบกับตัวเลขการเติบโตของผู้โดยสารในอนาคตมีแนวโน้มขยายตัวเร็วมาก โดย ทอท.คาดว่าในปี 2567 จะมีผู้โดยสารมากถึง 170 ล้านคน จึงเห็นว่าต้องรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพราะแผนก่อสร้างไม่ได้ทำแค่วันเดียว แต่ต้องใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ติดใจกับการพัฒนาพื้นที่ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ในจุดดังกล่าว แม้จะไม่ได้ทำตามแผนแม่บทเดิมที่วางไว้คือการก่อสร้างก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ทางทิศใต้ของสนามบิน
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ ทอท.ไปเร่งแผนงานพัฒนาโครงการสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 วงเงินลงทุน 7.5 หมื่นล้านบาท รองรับ 10 ล้านคน/ปี โครงการสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท รองรับ 10 ล้านคน/ปี เพื่อแก้ปัญหาผู้โดยสารล้นสนามบิน
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องค่ารถไฟฟ้าแพงนั้น ได้หารือกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และกรมการขนส่งทางราง (ขร.) นั้น ต้องหาแนวทางทำให้ประชาชนได้ใช้รถไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมมากที่สุด โดยให้ไปดูรายละเอียดราคาค่ารถไฟฟ้าในแต่ละเส้นทาง อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางต่างๆ รัฐไม่ได้ลงทุนทั้งหมด แต่มีเอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุนด้วย จึงต้องกลับมาดูเรื่องหลักการสัญญาว่า ในวันแรกที่เอกชนลงทุนไปแล้ว เอกชนได้อะไรบ้าง แล้วรัฐบาลได้อะไรบ้าง ที่ผ่านมาเพียงพอแล้วหรือยัง
ทั้งนี้ ได้เตรียมมอบนโยบายให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจรวม 23 แห่ง ในวันที่ 30 ก.ค.นี้ พร้อมทั้งสรุปการแบ่งงานของรัฐมนตรีทั้ง 3 ในวันนั้นด้วย ยืนยันว่าหลังการมอบนโยบายแล้วนโยบายหลักที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งดำเนินการคือ การลดภาระค่าครองชีพและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยการลดค่าโดยสารการเดินทางในทุกระบบ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ รถไฟ เป็นต้น
โดยนโยบายลดค่าโดยสารทุกระบบจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และไม่เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต อย่างไรก็ตาม จากนโยบายของพรรคร่วมที่เสนอให้ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 15 บาทตลอดสายนั้น จะต้องมาศึกษาถึงความเป็นไปได้ โดยยืนยันว่าการลดค่าโดยสาร จะมีราคาไม่ต่างจากนี้ และจะดำเนินการให้ทันภายในปีนี้อย่างแน่นอน
“การลดค่าโดยสาร ย่อมทำให้รัฐต้องมาอุดหนุน แต่สิ่งจำเป็นที่สุดคือ การลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน เช่น ที่ผ่านมาเคยมีรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี โดยหลังจากมอบนโยบายในวันที่ 30 ก.ค.นี้ จะมีข่าวดีให้กับประชาชนแน่นอน ซึ่งผมจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในการศึกษาลดค่าโดยสาร ในรูปแบบที่สมดุลและเหมาะสม
ด้านนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รายละเอียดของงบประมาณประจำปี 2563 รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ได้เสนอขอไปทั้งหมด 4.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบประจำประมาณ 1 แสนล้านบาท และงบลงทุนประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งหลักๆ เป็นการลงทุนทางรางและทางถนน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.)
"การปรับเปลี่ยนรายละเอียดของงบประมาณ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะถูกเสนอไปตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้า เมื่อมีรัฐบาลใหม่ก็จะต้องมีการทบทวนอยู่แล้ว โดยขณะนี้เรื่องอยู่ที่สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยเมื่อรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายแล้ว สำนักงบประมาณจะส่งเรื่องกลับมาให้กระทรวงคมนาคมทบทวนภายในเดือน ก.ค.นี้ จากนั้นกระทรวงคมนาคมจะต้องส่งเรื่องคืนภายในวันที่ 9 ส.ค.2562" ปลัดกระมรวงคนาคม กล่าว