ทั้งนี้ มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านมา ได้มีมติให้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ไปดำเนินการหารือการทำแอพพลิเคชั่นติดตามนักท่องเที่ยวและคนไทยที่เดินทางเข้าสนามบิน เพื่อป้องกันการระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งหลังจากนั้น นายพุทธิพงษ์ เรียกได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กสทช. พร้อมด้วยตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 ราย

โดยที่ประชุมมีมติสรุปใช้แอพพลิเคชั่นของการท่าอากาศยาน คือ AOT Airports เนื่องจากเป็นแอพพลิเคชั่นที่มีอยู่แล้ว และเปิดใช้มาตั้งแต่ 28 ส.ค.2562 ทำให้สามารถใช้งานได้และมีความสามารถในการรองรับไม่จำกัด โดยขั้นตอนนั้นจะให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าว และลงทะเบียนเก็บข้อมูลก่อนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งตัวแอพพลิเคชั่นพร้อมจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 12 มี.ค.นี้ พร้อมกันทุกสนามบินในไทย ซึ่งจะเป็นการเก็บข้อมูลผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกคน จากสถิติที่ปัจจุบันมียอดเฉลี่ยอยู่ที่ 70,000 คน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 50,000 คนต้องกรอกข้อมูลทุกคน ส่วนคนไทยที่มีการเดินทางเฉลี่ย 20,000 คน ดังกล่าวนั้น บังคับให้กรอกเอกสารเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในกลุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ดี ด้วยความกระชั้นชิดหากแอพพลิเคชั่นยังมีอุปสรรคอยู่หรือติดปัญหา ก็จะมีการแก้ไขในเบื้องต้นให้ลงทะเบียนด้วยแบบฟอร์มกระดาษไว้ก่อน

นอกจากนี้ ในส่วนแอพพลิเคชั่น Vwatch (Virus watching system) ที่พัฒนาโดย สวทช.จะทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล และติดตามผู้เดินทางเข้ามา โดยผู้ใช้แอพพลิเคชั่นจะต้องให้ข้อมูลระหว่างอยู่ในประเทศไทย โดยในแต่ละวันระบบจะให้การรับรองผู้เดินทางเมืองเดินทางกลับจะนำข้อมูลยืนยันให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดู และเมื่อเดินทางกลับรวมถึงแชร์จุดที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นอยู่

หากพบมีการป่วยจะส่งข้อมูลเพิ่มเข้ามาที่ศูนย์เฝ้าระวัง โดยตัวระบบจะสามารถแจ้งสถานะว่ามีผู้ใช้แอพพลิเคชั่นกี่คน โดยตัวแอพพลิเคชั่นจะให้ลงทะเบียนเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงเท่านั้น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะส่งไปรวมกันที่กรมควบคุมโรค โดยความคืบหน้าขณะนี้ แอพพลิเคชันพัฒนาเสร็จแล้วอยู่ระหว่างการขออนุญาตนำขึ้น กูเกิล เพลย์ สโตร์ หัวเว่ย สโตร์ และแอปเปิ้ล สโตร์