โลกของจีน " โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
จีนพิสูจน์เดินมาถูกทาง นโยบายโควิดเป็นศูนย์
หลังจากพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตลอด 2 ปี นานาชาติต่างมีความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า คงไม่สามารถเอาชนะไอ้เชื้อบ้าที่พัฒนาตนเองมาสู้กับวัคซีนหรือภูมิต้านทานได้ แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังบอกเลยว่า มนุษย์โลกคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ที่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยพลเมืองในแต่ละประเทศต้องฉีดวัคซีนป้องกันแ ละต้องปรับใช้ชีวิตวิถีใหม่ New Normal ที่มีการระวังป้องกันการติดเชื้อให้มากขึ้น
การที่โลกสามารถผลิตวัคซีนได้มากขึ้น มีการกระจายวัคซีนและระดมฉีดแก่ประชากรโลกได้มากขึ้น จนมีผลให้การแพร่ระบาดเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด การติดเชื้อที่ลดลง ภาพผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลจนเตียงล้นออกมานอนบนถนนหายไป ภาพผู้ป่วยหนักที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ กลายเป็นเพียงตัวเลขที่รายงานว่า อยู่ในระดับที่แพทย์พยาบาลรับมือได้ ไปจนถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลดน้อยลง ทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มวางใจผ่อนคลายความเข้มงวด เลิกบังคับสวมหน้ากาก เลิกสั่ง Work from Home จนถึงขั้นเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งแบบไม่ต้องกักตัว
ใครจะดำเนินนโยบายยังไงก็ช่าง แต่สำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 เป็นแห่งแรกที่เมืองอู่ฮั่น จนต้องล็อกดาวน์ทั้งเมือง แล้วต้องเกณฑ์แพทย์พยาบาลทั่วประเทศมาทำสงครามกับเชื้อไวรัสอยู่หลายเดือน กว่าจะหยุดการแพร่ระบาดในประเทศได้ หลังจากนั้น รัฐบาลจีนได้ส่งความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การแพทย์และวัคซีนไปให้แก่นานาชาติ แต่จนถึงปัจจุบันจีนก็ยังไม่มีท่าทีว่า จะเปิดประเทศและดูมีแนวโน้มจะยังปิดพรมแดนไปจนถึงปลายปีหน้าเพราะรัฐบาลจีนเลือกที่จะใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์”
จีนให้เหตุผลว่า เชื้อโควิด-19 ที่เริ่มพบที่เมืองอู่ฮั่นนั้น เป็นเชื้อนำเข้าจากชาวต่างชาติ (เคยมีข่าวระบุว่า เป็นทหารอเมริกัน) ผลวิจัยออกมาว่า หากเปิดประเทศรับชาวต่างชาติอีกครั้ง จะมีความเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดมีผู้ติดเชื้อมากกว่าวันละ 630,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ จะมีอาการรุนแรงมากกว่า 23,000 ราย อันจะมีผลกระทบกระเทือนต่อระบบสาธารณสุขของจีนในการรับมือกับสถานการณ์
วิธีการที่จีนใช้รับมือกับโควิด-19 ที่เป็นมาตรฐานคือ ถ้าเจอผู้ติดเชื้อที่ไหนต้องควบคุมที่นั่น และทำการตรวจเชื้อในวงกว้างทันที หากจำเป็นก็ต้องสั่งล็อกดาวน์กักบริเวณทั้งชุมชนหรือทั้งเมือง มีการควบคุมท่าเรือ สนามบิน สถานีรถไฟ พรมแดน ควบคุมการเดินทางขาเข้า ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งระงับชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นผู้มีหน้าที่จำเป็น
ตัวอย่างของความเข้มงวดเด็ดขาดชองจีน คือกรณีที่ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า 1 คน ที่มีประวัติไปเที่ยว “สวนสนุกดิสนีย์แลนด์เซี่ยงไฮ้” เมื่อปลายเดือนตุลาคม ทางการจีนสั่งล็อคดาวน์สวนสนุกทันทีพร้อมกักตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดในขณะนั้นกว่า 34,000 คน เพื่อทำการคัดกรองตรวจหาเชื้อทุกคน นอกจากนี้ ยังสั่งให้คนที่เคยไปเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในช่วงเวลานั้นอีกกว่า 100,000 คน ให้ไปตรวจหาเชื้อด้วย
คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติจีนยืนยันว่า มาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนนั้นสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ เป็นการสร้างปราการที่เข้มแข็งในการยับยั้งผู้ติดเชื้อนำเข้าและการแพร่ระบาดในท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม
จีนอธิบายเหตุผลที่ยังต้องใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ เพราะเชื่อว่า หากปล่อยให้เกิดการแพร่ระบาดรุนแรง จะมีผลให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจำนวนมาก การที่สื่อตะวันตกโจมตีจีนในเรื่องนี้ก็เพราะชาติตะวันตกทำแบบจีนไม่ได้เพราะอาจจะเกิดการประท้วงรุนแรง แค่ให้สวมหน้ากากก็ประท้วง จะบังคับให้ฉีดวัคซีนก็ประท้วงกลายเป็นจลาจลหลายประเทศโดยอ้างความเป็นประชาธิปไตย
ตะวันตกวิจารณ์จีนว่า “ปอดแหกเกินไป” ที่ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ เลยทำตัวโดดเดี่ยวในเวทีโลก เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่เดินทางออกนอกประเทศเลย ไม่เข้าร่วมประชุมเวทีใหญ่ของโลกเลย ในขณะที่ผู้นำชาติอื่นๆ เขาไปกันหมด
แต่ผู้วิจารณ์ลืมไปว่า แม้ตัวจริงจะไม่ได้ไป แต่ภาพและเสียงก็เป็นข่าวมาได้ตลอดทั้ง 2 ปี สี จิ้นผิง ไม่เคยตกกระแส มิหนำซ้ำยังมาแรงแซงอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งสำคัญคือ คำพูดของผู้นำจีนที่ถ่ายทอดออกมา นโยบายหรือจุดยืนของจีนที่บอกกล่าวแก่ชาวโลก ความสัมพันธ์ที่จีนมีต่อนานาประเทศสะท้อนว่า จีนไม่ได้เสียพื้นที่ข่าวเลย
ส่วนที่ว่า การปิดประเทศจะทำให้จีนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในขณะที่นานาประเทศกลับมาเปิดพรมแดนกันอีกครั้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะจีนไม่ได้หยุดค้าขาย การส่งออก-นำเข้ายังดำเนินต่อไป จีนพิสูจน์ว่าการค้าขายระหว่างประเทศยังขยายตัว จะมีก็เพียงด้านการท่องเที่ยวที่จีนยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เช่นเดียวกันที่คนจีนยังไม่ออกเดินทางไปต่างประเทศ
ระบบเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ อาศัยตลาดในประเทศพลเมือง 1,439 ล้านคน ที่มีชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อทำให้ภาคบริการมีการเติบโตสูง ประกอบกับการฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่เร็วกว่าทุกประเทศ ทำให้จีนสามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น
ในช่วงฤดูหนาวที่เชื้อโควิดแพร่ระบาดได้ง่าย รัฐบาลจีนจะยิ่งเข้มงวดกับมาตรการระวังป้องกัน โดยเฉพาะที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ระหว่างวันที่ 4-20 กุมภาพันธ์ 2022 จีนย่อมไม่ปล่อยให้เชื้อโควิด-19 เล็ดลอดเข้าไปแน่ เหมือนอย่างที่เกิดในงานโอลิมปิกฤดูร้อนเมื่อช่วงกลางปีนี้ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบันรัฐบาลจีนฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วมากกว่า 1,000 ล้านคน หรือกว่า 77% รัฐบาลตั้งเป้าการฉีดวัคซีนไม่ต่ำกว่า 80% ของจำนวนประชากรเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจำนวนประชากร 333 ล้านคน มียอดการติดเชื้อสะสมสูงที่สุดในโลก 49 ล้านคน เสียชีวิตมากที่สุดกว่า 8 แสนคน แต่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลก 1,439 ล้านคน วันนี้มียอดติดเชื้อสะสมยังไม่ถึง 1 แสนคน เสียชีวิตเพียงแค่ 4,636 คน
วันนี้โลกกำลังเผชิญเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ “โอไมครอน” ที่เชื่อว่า สามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเดลต้า เชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่นี้ จะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมากขนาดไหนยังต้องเฝ้าดูผลกันอีกระยะ แต่สำหรับจีนแล้วมีความชัดเจนว่า ยังยกการ์ดสูง ตั้งมั่นนโยบายเดิมโควิดต้องเป็นศูนย์ ไม่ยอมปล่อยให้เชื้อไวรัสเจาะผ่านกำแพงเมืองจีนเข้าไปง่ายๆ แน่