ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คอลัมนิสต์ประจำอปท.นิวส์ ย้อนกลับ
130 ปี ประธานเหมา กับภารกิจที่ยังไม่เสร็จ
16 ม.ค. 2567

เหมาเจ๋อตุง คือผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือผู้ประกาศสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน”คือผู้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์จีน  คือผู้สร้างลัทธิเหมาที่กำหนดทิศทางการพัฒนาของจีนมาจนถึงปัจจุบัน  ชาวจีนจึงยกย่องให้ “ประธานเหมา”คือบิดาแห่งจีนยุคใหม่

เขาเกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.1893ที่มณฑลหูหนาน เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดงานรําลึก 130 ปีวันชาตกาลของอดีตผู้นำสูงสุดของจีนคนนี้

สี จิ้นผิง เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดีผู้นำรุ่นที่5 ของจีน  นอกจากจะกล่าวยกย่องอดีตผู้นำรุ่นที่ 1 ว่าคือมหาบุรุษผู้เปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินจีน  เป็นทั้งนักปฏิวัติ นักยุทธศาสตร์ เป็นผู้บุกเบิกภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการนำพาจีนสู่สังคมนิยมทันสมัย

สียังถือโอกาสนี้กล่าวปลุกในคนทั้งประเทศด้วยว่า ภารกิจของประธานเหมาคือการฟื้นฟูชาติ  การสร้างประเทศจีนที่เข้มแข็งการสร้างจีนให้ทันสมัย  ขณะเดียวกันการรวมชาติกับไต้หวันที่ในสมัยเหมายังไม่มีโอกาสจะดำเนินการ  คือภารกิจที่เป็นความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นนี้ต้องสานต่อ  “การรวมแผ่นดินมาตุภูมิโดยสมบูรณ์เป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้ มาตุภูมิต้องเป็นหนึ่งเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”สีกล่าว

ภาพขนาดใหญ่ของเหมา เจ๋อตุง ที่ประดับอยู่เหนือซุ้มประตูเทียนอันเหมิน ไม่เพียงเป็นการการยกย่องอดีตผู้นำที่ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 หลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเอาชนะสงครามกลางเมือง  มีผลให้เจียง ไคเช็ค ต้องนำพรรคก๊กมินตั๋งหนีไปตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่เกาะไต้หวัน

แต่ยังย้อนไปถึงความยากลำบาก  ความมานะอดทนของ “การเดินทัพหมื่นลี้”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กว่าจะได้ชัยชนะ  รวมไปถึงการพักรบกับพรรคก๊กมินตั๋งหันสร้างแนวร่วมแห่งชาติเพื่อต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่พยายามเข้ามายึดครองจีนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสามารถปลดปล่อยจีนกลับสู่เอกราชในที่สุด

แม้จะมีผลงานอันยิ่งใหญ่ในการกอบกู้ชาติแต่“สหายเหมา”ก็หาใช่ผู้วิเศษที่หยั่งรู้ดินฟ้าหรือไม่เคยทำผิดพลาดเลยยิ่งในการบริหารประเทศที่กว้งใหญ่และมีการประชากรหลายร้อยล้านคนความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์จีนคือนโยบาย“ก้าวกระโดดใหญ่”ช่วงปี 1958-1962 อันเป็นช่วงของแผน 5 ปีฉบับที่สองของจีน  ที่อยากเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้ทัดเทียมชาติตะวันตกและชาติมหาอำนาจ  โดยการนำระบบคอมมูนประชาชนเข้ามาใช้กับระบบเศรษฐกิจการเกษตรแบบเดิม แต่เร่งเพิ่มเป้าผลผลิตแบบทวีคูณพร้อมๆกับการพยายามเข้าสู่การผลิตในระบบอุตสาหกรรมโดยขาดเทคโนโลยีความรู้พื้นฐานและความชำนาญ 

ผลที่ตามมาคือความล้มเหลวทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม    ผลผลิตการเกษตรลดลง  คนจีนยิ่งจนลง  เกิดความอดอยากทั่วแผ่นดิน  กลายเป็นภัยพิบัติทางเศรษฐกิจและทุกขภิกขภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนและมนุษยชาติเพราะคาดว่ามีผู้เสียชีวิตในช่วงเวลานั้นจำนวนมาก20-50ล้านคน

          เชื่อกันว่าความผิดพลาดจากนโยบาย “ก้าวกระโดดใหญ่”ทำให้เหมา เจ๋อตุง เริ่มเสื่อมเสียศรัทธาในหมู่ประชาชนและเริ่มเสียอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์จีน  จึงทำให้เกิด“การปฏิวัติวัฒนธรรม”ในช่วงปี 1966-1976  โดยอ้างถึงการปกป้องอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ การนำระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ไปสู่ความสมบูรณ์แบบตามอุดมคติ  การล้มล้างชนชั้นเพื่อสร้างความเสมอภาค  การล้างอดีตเพื่อสร้างอนาคตใหม่  ปฏิเสธระบบการศึกษาแบบเก่าๆ ปฏิเสธศิลปโบราณ เลิกวัฒนธรรมค่านิยมแบบเดิมๆที่เป็นตัวถ่วงรั้งการพัฒนา 

เครื่องมือสำคัญของการปฏิวัติวัฒนธรรมคือ“ขบวนการเรดการ์ดหรือ “ยุวชนแดง”ที่มีการปลุกเร้าเยาวชนคนรุ่นใหม่มาเป็นผู้พิทักษ์ลัทธิเหมา  เมื่อนานเข้าได้พัฒนาเป็นผู้คอยจับผิดผู้ใหญ่ พวกหัวเก่า ทั้งครู อาจารย์ ข้าราชการ นักการเมือง แม้กระทั่งพ่อแม่ญาติพี่น้อง ว่าภักดีหรือเป็นภัยต่อประธานเหมา  ต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนแค่ไหน 

การปฏิวัติวัฒนธรรมช่วยให้เหมากลับมามีอำนาจอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง  แต่อีกด้านหนึ่งคือความบอกช้ำอย่างสาหัสทางเศรษฐกิจและสังคมจีนกับเวลาที่เสียเปล่าในช่วงหนึ่งทศวรรษ

แม้เหมาจะถูกมองว่าเป็นผู้นำสังคมนิยมสุดโต่ง  แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเพื่อโอกาสทางการค้ากับต่างประเทศ  เพื่อลดแรงกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ  เหมาก็เลือกที่คุยกับผู้นำชาติทุนนิยมประชาธิปไตย  เลือกที่จะเอาศัตรูที่น่ากลัวที่สุดมาไว้ใกล้ตัวที่สุด  โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 1972เหมาได้ให้การต้อนรับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งอเมริกา ในการเยือนปักกิ่งเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เปิดโอกาสให้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในเวลาต่อมา  ทำให้สหรัฐอเมริกาหันมารับรองรัฐบาลปักกิ่งแทนรัฐบาลไต้หวัน และรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนในองค์การสหประชาชาติว่าคือ “จีนเดียว”จนถึงปัจจุบัน

             เมื่อรำลึกถึงประธานเหมา  ก็ต้องรำลึกถึง...คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่นำคณะบินไปพบและร่วมสนทนากับประธานเหมา เจ๋อตุง นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล และรองนายกฯเติ้ง เสี่ยวผิง(ตำแหน่งในขณะนั้น) ในวันที่ 1 กรกฎาคม 1975  และได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนซึ่งความสัมพันธ์ของสองประเทศในยุคใหม่มีความสืบเนื่องและเติบโตอย่างรอบด้านจวบจนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่  49          

ต่างกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งครบรอบ 45 ปีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2024 แต่โลกทั้งใบเห็นว่าดำเนินมาอย่างลุ่มๆดอนๆ  มีทั้งการคบค้า แข่งขัน ขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง และเกือบจะทำสงครามต่อกัน  ทั้งนี้เพราะความหวาดระแวงของสหรัฐฯที่เห็นการพัฒนาเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีนเกรงจะสูญเสียอำนาจความเป็นผู้นำโลก  เกรงจะพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจ 

เหมา เจ๋อตุง ถึงแก่อสัญกรรมในปี 1976 ในวัย 83 ปี นอกจากอุดมการณ์และภารกิจที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังสานต่อแล้ว  คำกล่าวของเหมาที่ว่าเรื่องส่วนตัวแม้ใหญ่แค่ไหน ก็ยังเป็นเรื่องเล็ก เรื่องของชาติแม้เล็กแค่ไหน ก็เป็นเรื่องใหญ่ ยังคงถูกอ้างอิงอยู่เสมอในแผ่นดินจีน

 

.........................................................................................

โลกของจีน / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...