ปลายปี 2023 สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศจะรวมชาติจีน แต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภานิติบัญญัติของไต้หวันหรือ “สาธารณรัฐจีน” เมื่อกลางเดือนมกราคม 2024 ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันแล้วว่านายไล่ ชิงเต๋อ หรือ “วิลเลียม ไล่” วัย 64 ปี ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) บุคคลที่จีนเคยเรียกว่า “เป็นพวกแบ่งแยกดินแดนที่เป็นตัวอันตราย”กำชัยชนะด้วยคะแนนนำ 5.58 ล้านเสียง หรือประมาณ 40.05% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
แม้จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ DPP ได้ครองอำนาจต่อเนื่องในสมัยที่ 3 แต่ 5.58 ล้านเสียงยังถือว่าห่างไกลจาก 8 ล้านเสียงที่ ไช่ อิงเหวิน เคยกวาดคะแนนเสียงมาได้อย่างถล่มทลายในปี 2020 ด้วยกระแสเรียกร้องเอกราช อธิปไตย พร้อมโหนกระแสม็อบฮ่องกงที่กำลังขัดแย้งกับจีนแผ่นดินใหญ่ จนสามารถครองเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อได้ในสมัยที่ 2
เสียงสนับสนุนที่ลดลงไปเกือบ 3 ล้านเสียงของ DPP อาจเนื่องมาจากเดิมนั้นไล่ ชิงเต๋อ เคยประกาศตนเองว่าเป็น “ผู้ปฏิบัติงานเพื่อเอกราชของไต้หวัน” แต่ในการหาเสียงครั้งนี้ไล่ไม่พูดเรื่องการแยกตัวเพราะรู้ดีว่าชาวไต้หวันส่วนหนึ่งก็กลัวจะเกิดสงคราม เนื่องจากได้เห็นแสนยานุภาพของกองทัพจีนตอนซ้อมรบยิงจรวจข้ามเกาะไต้หวันมาแล้ว หรือการที่จีนส่งเครื่องบินรบเข้าไปบินเหนือฟ้าไต้หวันแผดเสียงคำรามมากที่สุดถึง 103 ลำในรอบ 24 ชั่วโมงจนชาวไต้หวันขวัญหนีดีฝ่อว่าจะเจอสงครามแน่ๆแล้ว
ไล่จึงเน้นเรื่องการรักษาความเป็นประชาธิปไตยของไต้หวันที่มีอยู่ พูดเรื่องการพร้อมเจรจาเพื่อลดความขัดแย้ง
หลังได้รับชัยชนะไล่กล่าวปราศรัยกับผู้ให้การสนับสนุนว่า “ การเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าชาวไต้หวันยืนหยัดต่อระบอบประชาธิปไตย เราต้องแทนที่การปิดล้อมด้วยการแลกเปลี่ยน และแทนที่การเผชิญหน้าด้วยการเจรจา เพื่อบรรลุสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โดยการเจรจาต้องตั้งอยู่บนหลักความเสมอภาค และประชาธิปไตย”
อย่างไรก็ตามเสียงจากปักกิ่งได้เตือนคนไต้หวันล่วงหน้าแล้วว่าชัยชนะของไล่ ชิงเต๋อจะนำมาซึ่ง “สงครามและความตกต่ำ” ของไต้หวัน
โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของรัฐบาลจีนได้ออกแถลงการณ์ทันทีว่า ผลการเลือกตั้งของไต้หวันไม่สามารถเป็นสิ่งชี้วัดทัศนคติของประชาชนส่วนใหญ่ได้ “ไต้หวันยังคงเป็นไต้หวันของจีน” โดยการเลือกตั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์พื้นฐานและทิศทางการพัฒนาของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ จะไม่เปลี่ยนแปลงความปรารถนาร่วมของเพื่อนร่วมชาติทั่วช่องแคบไต้หวันในการกระชับสายสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และจะไม่ขัดขวางทิศทางการรวมชาติของจีน
ในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน การดำเนินการอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ปิตุภูมิเป็นเอกภาพ เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนชาวจีนทั้งหมด รวมถึงพี่น้องชาติชาวไต้หวันด้วย”
ผู้นำจีนทุกคนนับแต่เหมา เจ๋อตุง, เติ้ง เสี่ยวผิง, เจียง เจ๋อหมิน, หู จิ่นเทา จนมาถึงสี จิ้นผิง ต่างรู้ว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่คือ “การรวมชาติ” แต่เพราะ7ทศวรรษที่ผ่านมาต่างมีเรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องบริหารจัดการก่อน ทั้งความอดอยากยากแค้น การยกระดับคุณภาพชีวิต การเพิ่มผลผลิตภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม การสร้างงาน การพัฒนาการคมนาคมขนส่ง การพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนากองทัพที่เข้มแข็ง ฯลฯ
เมื่อสหประชาชาติรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าคือ “จีนเดียว”อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเร่งร้อนที่จะควบรวมด้วยกำลังหรือความรุนแรง
ต้องยอมรับความจริงที่ว่า คนจีนที่เกิดในไต้หวันอายุต่ำกว่า 75 ปีอาจจะปฏิเสธแผ่นดินใหญ่และเรียกตนเองว่าเป็น “คนไต้หวัน”ไม่ใช่ “คนจีน”
เช่นเดียวกับคนฮ่องกงที่เกิดในยุคสัญญาเช่า 99ปีของอังกฤษ หรือแม้จะเกิดหลังจากอังกฤษคืนเกาะในปี 1997 เปลี่ยนเป็น “เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน” แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาชุมนุมต่อต้านกฎระเบียบอันเข้มงวดของจีนแล้วเรียกตนเองว่า “คนฮ่องกง” ไม่ใช่ “คนจีน”
ในกรณีฮ่องกงรัฐบาลจีนก็ตอบผู้ที่เคยประท้วงต่อต้านอย่างนุ่มนวลว่าหากไม่ต้องการเป็น “คนจีน” ก็ยินดีให้ออกไปเป็นคนของชาติอื่น
ในกรณีไต้หวัน รัฐบาลจีนพยายามเอาใจคนที่เกิดบนเกาะไต้หวันด้วยการเสนอให้บัตรประชาชนคนจีน ให้ไปทำงานบนแผ่นดินใหญ่ ส่งเสริมผู้ประกอบการเอกชนให้ทำการค้าการลงทุนกับเอกชนหรือวิสาหกิจจีน จนทุกวันนี้คาดว่ามีชาวไต้หวันข้ามไปทำงานหรือทำมาหากินบนแผ่นดินใหญ่มากกว่า 1 ล้านคน
เหตุเพราะช่วง 8 ปีที่ผ่านมาของไต้หวันภายใต้พรรค DPP เศรษฐกิจอ่อนแอลง รายได้คนไต้หวันที่เคยดีกว่าคนจีนบนแผ่นดินใหญ่ จนเคยเป็นพื้นที่ที่คนจากอผ่นดินใหญ่อยากอพยบมาอยู่ด้วย เหมือนกับที่เคยรู้สึกกับฮ่องกง วันนี้กลายเป็นคนไต้หวันจำนวนไม่น้อยได้ย้ายไปทำงานที่แผ่นดินใหญ่ เพราะรายได้ดีกว่าและทันสมัยกว่า
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ได้ให้ความเห็นไว้ใน The Standard ตอนหนึ่งว่า ไต้หวันจะเจอแรงกดดันจากจีนมากขึ้น ทั้งการซ้อมรบในบริเวณช่องแคบไต้หวันโดยฝ่ายจีนอาจมีสเกลที่ใหญ่ขึ้นและมีความถี่ที่สูงมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการกดดันทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากไต้หวัน หรือในวันที่จีนมีศักยภาพเพียงพอในการพึ่งพาตนเองทางเซมิคอนดักเตอร์ นั่นจะทำให้จีนลดการพึ่งพาไต้หวันได้อย่างมีนัยสำคัญ และยิ่งทำให้จีนสามารถเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อไต้หวันได้มากขึ้น
“การรวมชาติเป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จีนคงไม่ต้องการสร้างความเสียหายทางชีวิตและทรัพย์สินให้กับคนไต้หวันบนเกาะ เพราะจะมีประโยชน์อะไรหากชนะสงครามแต่ได้ความเกลียดชังของผู้คนบนเกาะที่จะเป็นมณฑลแห่งใหม่เข้ามารวมกับประเทศเดิม เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการสร้างคลื่นใต้น้ำลูกใหม่ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในหลังการรวมชาติ” ความเห็นของรศ.ดร.ปิติ
ผลการเลือกตั้งบอกให้รู้ว่าคนไต้หวันส่วนใหญ่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ต้องการเป็นอย่างเดิมๆ ไม่จำเป็นต้องแยกเป็นเอกราชแต่ก็ไม่ต้องการรวมชาติ แต่สำหรับรัฐบาลปักกิ่งที่ประกาศนโยบาย One China ต้องการให้ไต้หวันอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน กฎหมายฉบับเดียว ธงผืนเดียวกัน และประธานาธิบดีเพียงคนเดียว
ภายใน 4 ปี หรือก่อนถึงการเลือกตั้งในปี 2028 พรรคคอมมิวนิสต์จีน น่าจะทำการบ้านอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรในการปลูกฝังความรักชาติและแนวคิดรวมชาติในไต้หวันให้บังเกิดผลได้มากกว่านี้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ
วันนี้สี จิ้นผิง อายุ 75 ปีแล้วคงไม่รอถึงปี 2049 เพื่อฉลอง 100 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีนที่รวมชาติสำเร็จ
โลกของจีน / ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ