ในช่วงวิกฤติการระบาดของเชื้อโควิด-19 รัฐมีความจำเป็นต้องควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดขึ้นในวงกว้าง ซึ่งมีทั้งการสั่งปิดสถานที่หลายแห่ง การประกาศเคอร์ฟิว รวมถึงการให้ทุกคนระมัดระวังตัว สวมใส่หน้ากาก และเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งแน่นอนว่ามาตรการเหล่านี้กระทบต่อความเป็นอยู่ รวมถึงการทำมาหากินของประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ เรียกเสียงฮือฮาให้กับสังคมไทยไปทั่ว เมื่อปรากฎข่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย หอบตัวเองไปโรงรับจำนำไถ่ถอนเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานคืนให้แก่ประชาชนเพื่อกลับไปประกอบอาชีพได้อรกครั้งในสถานการณ์โควิด ซึ่งเมื่อส่องลงไปดูแล้วก็พบว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยผู้นั้นก็คือ “ผู้ว่าฯ ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม” หรือ “ผู้ว่าฯ ติ๊ก”ที่หลายคนชื่นชมในการใช้ชีวิตอย่างสมถะมาตลอด โดยเฉพาะภาพที่ผู้ว่าฯ คนนี้ ปั่นจักรยานไปทำงานที่จวนทุกวัน รวมถึงกิจกรรมอีกหลายรูปแบบที่เผยให้เห็นความเป็น “คนติดดิน” ได้อย่างชัดเจนยิ่งคอลัมน์ อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ฉบับนี้ จึงขอนำท่านผู้อ่านมารู้จักกับ “ผู้ว่าติ๊ก” ว่าเขาเป็นใคร และมีพื้นเพมาอย่างไร

“ผู้ว่าฯ ติ๊ก” เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2510 ปัจจุบันอายุ 53 ปีพื้นเพเป็นคนอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยเรียกได้ว่า เป็นคนเมืองเลยที่ได้กลับมาเป็นผู้ว่าฯเลยจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนบ้านวังสะพุง ต.วังสะพุง อ.วังสะพุง จ.เลย แล้วไปต่อจนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนชุมชนวังสะพุง ต.วังสะพุง อ.วังสะพุง จ.เลย จากนั้นไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษา เพราะมีฐานะยากจน

“ผู้ว่าฯ ติ๊ก” เล่าให้ฟังว่า ช่วงนั้นมาเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่พักหนึ่งพอเห็นมีการเปิดสมัครรับนักเรียนกศน.ก็ไปสมัครเรียนภาคค่ำจนใกล้จะจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ไปสอบเทียบของแผนกศึกษาธิการจังหวัดอีกส่วนหนึ่ง ก็สอบเทียบได้ จนได้วุฒิมาพร้อมกัน 2 ใบ ใบหนึ่งคือจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเลย และศึกษาผู้ใหญ่ภาคค่ำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การศึกษาผู้ใหญ่ที่โรงเรียนเลยพิทยาคม

“ระหว่างนั้นก็ทำงานทุกอย่าง ทั้งรับจ้างปั้นอิฐ ปั่นสามล้อ ช่วงนี้ก็ไปอาศัยวัดอยู่ พอจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ไปสอบจุฬาชนบท ซึ่งเขาจะเปิดให้เด็กที่ยากจนแต่พอที่จะเรียนหนังสือได้ดีมาสอบแข่งขันกัน ก็เลยได้ทุนจุฬาชนบทไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ซึ่งสอบได้คณะรัฐศาสตร์ และจบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 2และรัฐศาสตรมหาบัณฑิต การปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”

“ผู้ว่า ติ๊ก” เล่าต่อว่า พอเรียนจบมาแล้วก็เริ่มรับราชการเป็นปลัดอำเภอครั้งแรกที่โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ก็ทำงานเรื่อยมาจนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งแรกที่ราชบุรี และย้ายมาอยู่เมืองเลยเป็นผู้ว่าฯ เมืองเลยเมื่อปี 2560 จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อเข้ามาทำหน้าที่ในส่วนตรงนี้ก็มีแนวคิดการทำงานที่มุ่งทำตามอำนาจหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด แต่ว่าทุกงานก็จะรับเอาทุกข์เอาสุขของพี่น้องประชาชนมาปรับกับระเบียบกฎหมายให้ชอบด้วยหลักธรรมาภิบาล พี่น้องประชาชนจะได้มีส่วนร่วมอย่างโปร่งใสและคุ้มค่ากับภาษีอากรของพี่น้องประชาชน

“ผู้ว่าฯ ติ๊ก”บอกกับว่า ตัวเขาถือว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพี่น้องชาวจังหวัดเลย เพราะฉะนั้นอะไรที่คนเมืองเลยทำหรือปฎิบัติก็จะทำตามที่พี่น้องประชาชนแนะนำบอกกล่าวมา คือถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีหน้าที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนนอกจากนั้นการเป็นสมาชิกของสังคมคนหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

“ถ้าทุกคนทำหน้าที่ของแต่ละคนสมบูรณ์มันก็จะเป็นจุดเล็กๆของแต่ละคนมาเชื่อมต่อกันที่จะทำให้สังคมและประเทศชาติดีขึ้นและมีความสุข จึงต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเหมือนโบราณที่เขาบอกไว้ว่าจะร้องก็ร้องให้สุดคำ จะรำก็รำให้สุดแขนสำหรับทัศนคติที่ยึดถือไว้ใช้ในการดำรงชีวิตก็คือต้องพยายามคิดให้ดี พูดให้ดีและก็ทำให้ดี คือทำอะไรให้ตัวเองและสังคมเดือดร้อนน้อยที่สุด”

“ผู้ว่าฯ ติ๊ก”ยังได้เล่าว่าเป็นคนชอบออกกำลังกายตื่นเช้ามาก็จะเดินออกกำลังกาย โดยจะให้ความสำคัญอย่างมากกับการออกกำลังกาย คือมีการเดิน การปั่นจักรยาน และจะใช้สูตรการออกกำลังกายร้อยพันหมื่นคือพยายามหมุนหัวไหล่ให้ได้วันละหนึ่งร้อยครั้ง พยายามแกว่งแขนให้ได้วันละหนึ่งพันครั้ง และพยายามเดินให้ได้หนึ่งหมื่นก้าวต่อวัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายเช่นนี้คือรู้สึกว่าสมองโล่งดี คิดงานก็ได้สะดวกขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงสมส่วนตามวัย การนอนหลับพักผ่อนก็หลับสบายจากการที่เราได้ออกกำลังกาย ส่วนกิจกรรมอย่างอื่นที่ชอบทำก็มีการปลูกพืชผักสวนครัว พอเดินเสร็จหรืออกกำลังกายเสร็จก็จะมาเดินดูผักที่ปลูกเอาไว้มีเวลาว่างหน่อยก็จะมาร่วมกันทำอาหารทำกับข้าวรับประทานกันภายในครอบครัว

ท้ายนี้ “ผู้ว่าฯ ติ๊ก” ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชมไม่ว่าจะเป็นการปฎิบัติงานหรือการใช้ชีวิตที่สมถะเรียบง่าย แต่ก็แอบพูดอย่างถ่อมตัวด้วยว่าสิ่งที่ทำก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้ว่าฯท่านอื่นๆมากนัก และพี่น้องประชาชนก็ทำเช่นเดียวกัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน สังคมก็น่าอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่น้องประชาชนให้กำลังใจมาก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่เป็นแรงใจให้ต้องทำหน้าที่อย่างดียิ่งขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันก็คงต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกันต่อไปเพื่อให้สังคมและประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

สำหรับผู้ว่าฯ สมถะผู้นี้ เริ่มชีวิตราชการที่กรมการปกครอง จบหลักสูตรนายอำเภอ รุ่นที่ 49,หลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 51 (นักศึกษาดีเด่น), การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า รุ่นที่ 17, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (Top Executive Program in Commerce and Trade) รุ่นที่ 9

มีเส้นทางนักปกครอง โดยปี 2535-2546 เป็นปลัดอำเภอ จังหวัดหนองคาย อุดรธานี เลย ขอนแก่น นครราชสีมาปี 2547-2551 เป็นผู้ตรวจการส่วนท้องถิ่น/หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ปี 2551-2555 เป็นท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี นครราชสีมาปี 2555-2557 ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปี 2557-2558 หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย

ปี 2558 รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาปี 2558-2559 รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปี 2559-2560 ที่ปรึกษาด้านการปกครองสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยปี 2560 ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และปี 2560 ถึงปัจจุบัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560

“ถ้าทุกคนทำหน้าที่ของแต่ละคนสมบูรณ์ มันก็จะเป็นจุดเล็กๆ ของแต่ละคนมาเชื่อมต่อกัน ที่จะทำให้สังคมและประเทศชาติดีขึ้นและมีความสุข จึงต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เหมือนโบราณที่เขาบอกไว้ว่า จะร้องก็ร้องให้สุดคำ จะรำก็รำให้สุดแขน”

/////////////////////////////////////////