ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
การเมือง / การปกครอง ย้อนกลับ
ชาญชัย"ย้อนปมเลี่ยงภาษี1.6หมื่นล้าน
09 มี.ค. 2560

          นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการที่เคยเรียกร้องให้กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรเรียกเก็บเงินภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรนายทักษิณ ชินวัตร จำนวน1.6 หมื่นล้านบาทว่า เหตุพิพาทนี้เกิดจากกรณีการซื้อขายหุ้นในราคาพาร์หุ้นละ1บาท แล้วนำมาขายต่อให้เทมาเสกในราคาหุ้นละ49.25 บาท รวม164,600,000หุ้น  เมื่อวันที่23 ม.ค.2549  ถือเป็นวันที่เริ่มนับว่ามีเงินได้เกิดขึ้น ต้องเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้นคนละ7,941,950,000 บาท รวมเป็นเงิน15,882,000,000บาท ทั้งนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองมีคำพิพากษา เมื่อ26 ก.พ. 2553ในคดีแดงที่ อม.1/2553ที่อัยการสูงสุดฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ  นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ผู้ต้องหาที่1-3ศาลวินิจฉัยให้ต้องเสียภาษีตามมาตรา61 คือกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้ทันทีและเป็นคนละกรณีกับการร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นให้ ก็ต้องไปเสียภาษี จึงเป็นคนละเรื่องกับที่นายทักษิณอ้างว่าได้จ่ายจากการยึดทรัพย์ไปแล้วคนละเรื่องกัน

          นายชาญชัย กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณได้ร้องถามว่าต้องเสียภาษีอีกหรือไม่ นางเบญจา หลุยเจริญ ปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรได้ทำหนังสือตอบกลับว่าไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาจึงนำหนังสือราชการนี้ไปอ้างว่าไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ ศาลอาญาได้มีคำตัดสินเมื่อ28 ก.ค.2559 ว่า นางเบญจา  และอดีตผอ.สำนักกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่อีก2ราย คือจำเลยที่1-4 มีความผิดร่วมกันปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมสรรพากรม2คำพิพากษานี้เป็นเรื่องการเงินที่ทำธุรกรามอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีให้รัฐ จากการซื้อขายหุ้นถูกมาขายแพง ไม่ใช่เรื่องการเมืองอย่างที่มีคนบิดเบือน ดังนั้นกรมสรรพากรต้องเก็บภาษีส่วนนี้ให้แก่รัฐก่อน31มี.ค.2560 ก่อนคดีหมดอายุความเพื่อรักษากฎหมายตามคำพิพากษาของสองศาล

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 1 - 15 มีนาคม 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...