ตามที่รัฐบาลได้จัดทำโครงการบ้านประชารัฐริมคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อ (โครงการบ้านมั่นคง) และโครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล.ริมคลองและประตูระบายน้ำ โดยมอบหมายภารกิจให้สถาบันพัฒฯองค์กรชุมชน (พอช.) และสำนักงานระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานนั้น

แต่การดำเนินการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อครัวเรือนต่าง ๆ ในชุมชนริมคลองเป็นจำนวนมาก เป็นโครงการที่สร้างภาระหนี้สินให้กับชาวชุมชนและก่อให้เกิดการคอรัปชั่นอย่างกว้างขวาง ในขณะที่ชาวบ้านที่มีบ้านเรือนอยู่ในแนวการก่อสร้างเขื่อนริมคลองต่างยินดีที่จะรื้อถอน “ตัดบ้านคืนคลอง” ให้เพียงแต่ขอให้รัฐช่วยเหลือค่ารื้อถอนและค่าเยียวยาให้ครัวเรือนละ 2-3 แสนบาทเท่านั้น
            
แต่ทว่าหน่วยงานรัฐหาได้สนใจข้อเสนอของชาวบ้านไม่แต่กลับร่วมมือกันใช้อำนาจรัฐกดดันชาวบ้านในชุมชนแออัดและชุมชนริมคลอง โดยให้กรมธนารักษ์แจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้าน (บางคน) ที่ไม่ยอมศิโรราบตามความต้องการของหน่วยงานรัฐข้างต้น ซึ่งอธิบดีกรมธนารักษ์ได้มอบอำนาจให้นิติกรของกรมฯไปดำเนินการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน และสน.ต่าง ๆ มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบเลยว่าชาวบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ต่างๆดังกล่าวมาก่อนที่ที่ดินดังกล่าวจะเป็นที่ราชพัสดุมานานกว่า 80-100 ปีขึ้นไปมาแล้ว จึงไม่ต้องด้วยกับข้อกล่าวหาว่า “บุกรุก” แต่อย่างใด อันถือได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งให้ชาวบ้านต้องโทษในคดีอาญา

ล่าสุดพบว่าอธิบดีกรมธนารักษ์ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษชาวบ้านที่ “เสียชีวิต” ไปนานกว่า 10 ปีแล้วในข้อหาฐานบุกรุก อีกทั้งชาวบ้านที่เสียชีวิตดังกล่าวสร้างบ้านเรือนอยู่บนที่ดินที่มีโฉนดของตนเอง การกระทำของอธิบดีกรมธนารักษ์ จึงเข้าข่าย “แจ้งความเท็จ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 และมาตรา 179 เพื่อกลั่นแกล้งให้ชาวบ้านต้องโทษในคดีอาญา
             
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และเครือข่ายสิทธิชุมชนคนริมคลอง จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ ฯพณฯนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้พิจารณาและสั่งการให้ “ปลด” หรือ “ย้าย” อธิบดีกรมธนารักษ์ดังกล่าวออกไปเสีย เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป