ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ย้อนกลับ
กทม.หารือคีรีแล้วเรื่องค้างเงิน2หมื่นล.รถไฟฟ้าสีเขียว
13 มิ.ย. 2566

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยถึงผลการหารือร่วมกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่า ประเด็นหลักที่ได้หารือร่วมกันในวันนี้ เป็นเรื่องของค่าจ้างการติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประมาณ 22,000 ล้านบาท ที่ครบกำหนดการชำระไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ซึ่งทางผู้ว่าฯกทม. ได้แจ้งว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ และในเรื่องนี้คณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประชุมมา 5-6 ครั้ง มีความเข้าใจในเรื่องนี้พอสมควรแล้วคงใช้เวลาในการพิจารณาไม่นาน

 “ผมต้องขอขอบคุณผู้ว่าฯกทม. ที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้ามาหารือร่วมกัน และเข้าใจในบริบทของบริษัทเอกชน ที่ต้องแบกรับภาระหนี้มาถึง 4 ปี กับก้อนหนี้กว่า 50,000 ล้านบาท เพราะหากเป็นเอกชนรายอื่นคงหยุดเดินรถไฟฟ้าไปแล้ว แต่ตนและบีทีเอส เราเข้าใจผู้โดยสารที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงบริหารโครงการอย่างเต็มความสามารถ และต้องหาเงินทุนจำนวนมากมาบริหารเพื่อไม่ให้กระทบกับการดำเนินชีวิตของผู้โดยสาร แต่หากวันหนึ่งเราไม่สามารถเดินรถได้ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็คงเป็นไปตามเหตุ และผลที่เกิดขึ้นจริง ส่วนกระบวนการชำระหนี้ คงต้องดำเนินการตามข้อกฎหมาย และกระบวนการภายในของ กทม. แต่จะจ่ายในรูปแบบไหน หรือจ่ายยังไง ยังไม่ได้มีการพิจารณา” นายคีรีกล่าว

ด้านความคืบหน้าหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว วงเงินรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ก้อนแรกวงเงิน 11,755.06 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ ที่ กทม.ได้ยื่นต่อศาลปกครอง หลังจากก่อนหน้านี้ศาลปกครองได้พิพากษาให้ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จํากัด (เคที) ร่วมกันจ่ายหนี้ให้กับบีทีเอส ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานคงมีความชัดเจน ส่วนหนี้ก้อนที่สองวงเงิน 11,068.50 ล้านบาท ทางบีทีเอสได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้จ่ายหนี้ไปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ส่วนหนี้ที่เหลือและหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการเดินรถ จะมีการดำเนินการตามขบวนการต่อไป

“เรื่อง O&M ตนไม่ทราบว่ารัฐบาลรักษาการจะช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง เพราะในช่วงเป็นรัฐบาลในชุดที่ผ่านมา ก็ได้มีการบรรจุวาระเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 3-4 ครั้ง แต่ก็ถูกนำออกเนื่องจากมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ดังนั้น หากรัฐบาลรักษาการดำเนินการแก้ไขปัญหาไม่ทัน ก็หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาดำเนินการได้ เพราะน่าจะมีความเข้าใจปัญหามากขึ้นแล้ว ส่วนเรื่องที่คณะกรรมการป้องกัน

และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมกับพวก 13 คน ซึ่งปรากฏชื่อของตนเองและบริษัท ในความผิดสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และความผิดฮั้วประมูลนั้น ขอยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า เราไม่เคยฮั้วประมูล และสัญญาทุกอย่างมีที่มาที่ไป”

นายคีรีกล่าวต่อว่า วันนี้ไม่ติดใจประเด็นในเรื่องใดแล้ว และการเดินทางมาหาผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้ เพราะอยากให้เห็นใจภาคเอกชน ที่มีหนี้สะสมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวถึงประมาณ 50,000 ล้านบาท

ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ ทาง คสช. ก็มีการเสนอแนวทางการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาให้กับบีทีเอส เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้น แต่ด้วยสังคมอาจไม่เข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้เรื่องดังกล่าว

หยุดนิ่งในขั้นตอนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรื่องข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ทางบีทีเอสได้เคยชี้แจงไปแล้วอย่างชัดเจน และได้ยื่นหนังสือไปยัง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ และนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการหาตัวผู้กระทำผิด ที่ปล่อยให้มีเอกสารภายในหลุดออกมา และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ และราคาหุ้นของบริษัท ซึ่งขณะนี้ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีการชี้แจงจาก ป.ป.ช. เพราะก่อนหน้านี้ทาง ป.ป.ช.ได้ออกมายอมรับว่าเป็นเอกสารลับทางราชการ และได้มีการสอบถามเพิ่มเติมว่า ข้อกล่าวหาที่ระบุมานั้น ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์กระทำผิดอย่างไร ได้ร่วมกระทำผิดและสนับสนุนการกระทำผิดอย่างไร และเวลาใด

แต่ ป.ป.ช.กลับทำหนังสือแจ้งมาเพียงระบุว่า ข้อกล่าวหาที่ได้แจ้งมานั้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งบริษัทขอยืนยันว่าเอกสารการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ส่งมานั้น ยังไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย เราเพียงอยากขอความชัดเจนว่า ที่แจ้งข้อกล่าวหา ทั้งในฐานะนิติบุคคล และในฐานะส่วนตัวนั้น เราได้ไปกระทำความผิดอย่างไร ร่วมกับใคร ซึ่งหมายถึงผู้กล่าวหาคนใด กระทำผิดกันที่ไหน กระทำความผิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามพื้นๆ ง่ายๆ แต่ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้เลย และที่สำคัญการสรุปพฤติการณ์การกระทำความผิดของ ป.ป.ช. ต้องระบุพยานหลักฐานที่ใช้ยืนยันการกระทำความผิด

ซึ่งในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาก็ไม่มีระบุในเรื่องพยานหลักฐานนี้ ที่ต้องมาเน้นย้ำในเรื่องนี้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ และมีความสำคัญมาก การให้การของผู้ถูกกล่าวหาต้องไม่หลงประเด็น ในขณะนี้เราได้ทำหนังสือไปถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งหวังว่าท่านจะให้ความกรุณาดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อทางเราจะได้ชี้แจงข้อกล่าวหาและข้อเท็จจริงต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของข้อเท็จจริงบางประการที่แจ้งมา และสามารถอธิบายได้ ทางบริษัทก็ได้ดำเนินการชี้แจงไปแล้ว

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 เมษายน 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...